ชนิดของผ้า

คุณสมบัติของผ้าชนิดต่างๆ 

ผ้าผืนชนิดต่างๆ ที่เราเห็นและพบเจอโดยทั่วไปนั้น สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน และผ้าแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป

1.     ผ้าฝ้าย                            

                  ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ใช้กันมากที่สุด  เหมาะกับประเทศที่มีอากาศร้อน  เพราะผ้าฝ้ายสวมใส่สบาย ผ้าฝ้ายได้จากใยฝ้าย  ต้นฝ้ายขึ้นได้ดีในแถบที่มีอากาศอุ่นและชื้น  ในประเทศเราปลูกกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เมื่อผลฝ้ายแก่จัด  ผลจะแตกมีใยเป็นปุยขาว  เก็บมาแยกเอาเปลือกและเมล็ดออก  แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย  ทอเป็นผืนผ้า  ผ้าฝ้ายมีเนื้อค่อนข้างเหนียว  ไม่ค่อยยืดหยุ่น ยับง่าย  หดง่าย  ดูดซึมน้ำได้ดี  ระบายอากาศและความร้อนได้ดี  เนื้อผ้าซักรีดและทำความสะอาดง่าย  ทนความร้อนได้ดี ต้ม-ฟอกขาวได้ รีดได้ด้วยความร้อนและอุณหภูมิสูง  ผ้าฝ้ายมีหลายเนื้อ ตั้งแต่เนื้อบางเบา จนกระทั่งเนื้อหนาหนัก สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น ผ้าฝ้ายที่เป็นผ้าสาลู เหมาะที่จะใช้ทำเป็นผ้ากรอง ทำเป็นผ้าอ้อม ผ้าเช็ดมือ  ผ้าฝ้ายที่เป็นเนื้อบางเนื้อดีเช่นผ้าป่าน  เหมาะสำหรับตัดเสื้อผ้าหน้าร้อน นอกจากนี้ผ้าฝ้ายยังสามารถที่จะนำมาใช้เป็นผ้าเช็ดตัว  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าห่มเด็ก ผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และอื่นๆได้อีกมากมายหลายชนิด นับเป็นผ้าที่ใช้ได้ดี และใช้ประโยชน์ได้สูงสุด  โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างประเทศไทยเรา

           คุณสมบัติของผ้าฝ้าย

1. สวมใส่สบายเพราะดูดความชื้นและระบายความร้อนได้ดี
2. มีความทนทาน
3. ยับง่าย

2.      ผ้าลินิน          

                         ใยลินินได้จากต้นพืชที่เรียกว่า แฟลกซ์ (FLAX)  ปลูกกันมากในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม ไอร์แลนด์ รัสเซีย  เป็นใยที่เก่าแก่และทนทาน (ผ้าห่อมัมมีในประเทศอียิปต์)  ลินินชอบอากาศอุ่นค่อนข้างชื้น  ลินินที่ปลูกในยุโรปส่วนมากจะนำไปทำสำเร็จเป็นผืนผ้า  ก่อนจะได้ลินินมาผลิตเป็นผืนผ้า  ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน คือนำต้นลินินที่ถอนแล้ว มาหมักให้ต้นเปื่อยนุ่ม มัดเป็นฟ่อนๆ ตากให้แห้ง แล้วใช้ลูกกลิ้งกลิ้งบดทับให้ต้นและก้านแตกแยกเป็นเส้นใยออกมา  ต่อไปนำเข้าเครื่องหวี หวีให้เส้นใยเรียบและแยกเอาเส้นใยสั้นๆออก แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นใยและเส้นด้าย หากต้องการเส้นใยขาว ก็มักจะนำไปฟอกขาวก่อนนำมาปั่นเป็นเส้นด้าย  คุณสมบัติของผ้าลินินส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกับผ้าฝ้าย หรือเมื่อเปรียบเทียบผ้าลินินกับผ้าฝ้ายแล้ว  จะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยคือ ผ้าลินินเหนียวและทนทานกว่าผ้าฝ้าย  แต่ยืดหดได้น้อยกว่า  ยับง่ายกว่า ดูดซึมน้ำได้ดีกว่า
                               ผ้าลินิน มีหลากหลายชนิดตั้งแต่เนื้อละเอียดบางจนถึงหยาบหนา  เหมาะที่จะนำมาใช้ทำเป็นผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ  ผ้ากันเปื้อน แต่มาลินินนั้นมีราคาค่อนข้างแพง

3.     ผ้าไหม              

                      ใยไหมได้จากรังของตัวไหมในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอิสาน ใยไหมได้รับสมญานามว่าเป็นราชินีแห่งเส้นใย  มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันวาว ทำความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรารู้จักใช้ผ้าไหมมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักการเลี้ยงไหม และนำเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม
                    คุณสมบัติทั่วไปของผ้าไหม นอกจากจะมีเนื้อมันแวววาวสวยงามมากแล้ว  ยังมีความเหนียวมาก สวมใส่สบายปรับให้เหมาะกับอากาศร้อน/เย็นได้ดี คือ จะรู้สึกเย็นเมื่ออากาศร้อน  และจะรู้สึกอุ่นเมื่อากาศหนาว ผ้าไหมย้อมสีติดง่าย พิมพ์ลวดลายได้สวยงาม เวลาสวมใส่จะเสียดสีกัน ทำให้เกิดเสียง เราเรียกกันว่า เสียงส่ายไหม  ผ้าไหมนิยมนำมาตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ให้ความงามหรูหราและใช้เป็นครั้งคราว ไม่นิยมนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าที่ต้องใส่ประจำวัน เนื่องจากเพราะผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง ซักรีดยาก ผ้าไหมที่ฟอกเอาขี้ผึ้งที่ติดมากับเส้นใยออกหมด น้ำหนักจะเบาและค่อนข้างยับง่าย ต้องตกแต่งให้ทนยับ ผ้าไหมจะเก่าเร็วถ้าต้องซักรีดบ่อยๆ ไม่ทนต่อสารซักฟอกที่มีส่วนผสมของด่างเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด  เวลาซักรีดผ้าไหมจึงต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าการซักผ้าชนิดอื่นๆ

4.     ผ้าใยสังเคราะห์    

                    ได้แก่ผ้าที่ทอจากใยสังเคราะห์จากสารเคมี มีหลายชนิดที่นิยมใช้และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ได้แก่ผ้าไนล่อน  โพลีเอสเตอร์ อะไครลิค  เป็นต้น
          คุณสมบัติของผ้าใยสังเคราะห์

1. ยืดหยุ่นและคงรูปได้ดี
2. ซักง่าย - แห้งเร็ว - ไม่ต้องรีด
3. เหนียวมาก แต่ทนความร้อนสูงไม่ได้ ต้องระวังเมื่อซีกด้วยเครื่องที่มีระบบน้ำร้อน และการรีด ถูกไฟไม่ได้ แม้แต่ขี้บุหรี่หรือลูกไฟ ก็จะละลายเป็นรูทันที
4. ไม่ดูดความร้อน

5.     ผ้าที่ทอจากใยผสม   

                       เส้นใยผสมเกิดขึ้นเพราะ ไม่มีเส้นใยชนิดใดที่ดีพร้อมทุกประการ  เส้นใยทุกชนิดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย  จึงได้มีการผสมเส้นใยขึ้น การผสมนี้เพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ  เพื่อให้ได้ผ้าชนิดใหม่ที่มีคุณภาพดีขึ้น  และผลพลอยได้ตามมาคือ ได้ผ้าที่มรเนื้อและผิวสัมผัสแปลกออกไป มีลวดลายแปลกตา และลดต้นทุนของผ้าราคาแพงให้มีราคาถูกลงได้ เป็นต้น  ผ้าผืนใดมีส่วนผสมของเส้นใยชนิดใด  จำนวนเท่าใด มักเขียนบอกไว้เป็นเปอร์เซนต์ โดยบอกชื่อชนิดของเส้นใยและเปอร์เซนต์ไว้ที่ป้ายหรือริมผ้า เช่น โพลีเอสเตอร์65% ฝ้าย35%  ผ้าใยผสมผืนนี้จะมีคุณสมบัติรวงกันระหว่างโพลีเอสเตอร์และฝ้าย คือ ดูแลรักษาง่าย ไมยับ แต่สวมใส่สบาย ฉะนั้นผู้ที่จะตัดสินใจว่าเส้นใยผสมใดมีคุณสมบัติดีขึ้นอย่างไร จำเป็นต้องทราบคุณสมบัติของเส้นใยที่นำมาผสมกันได้เป็นอย่างดี จึงจะพิจารณาและวินิจฉัยลงความเห็นคุณสมบัติของผ้าใยผสมนั้นได้อย่างถูกต้อง