| ||||||||||||||||||||||||
|
เด็กหญิงจิตตินันท์ แซ่เห้ง เลขที่ 29 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/8 โครงการ SMAP โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ จังหวัดสตูล
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556
ชนิดของภาชนะที่ใช้ย้อม
ปัจจัยที่มีผลต่อการย้อมผ้า
![]() | ควรทำความสะอาดผ้าก่อนการย้อม เพื่อขจัดคราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ รวมทั้งสารตกแต่งบนผ้าด้วย |
![]() | |
![]() | ควรทำให้ผ้าเปียกหมาดๆ ก่อนการย้อม เพื่อให้สีซึมเข้าผ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดรอยด่าง |
![]() | |
![]() | ควรใช้สีให้เหมาะสมกับชนิดของผ้า เช่น ผ้าเส้นใยธรรมชาติ ให้ใช้สีย้อมเย็น เส้นใยสังเคราะห์ ให้ใช้สีย้อมร้อน |
![]() | |
![]() | สำหรับผ้าสีเมื่อนำมาย้อม สีที่ได้จะเป็นไปตามทฤษฎีการผสมสี เช่น ผ้าสีแดง เมื่อนำมาย้อมทับด้วยสีน้ำเงินจะเป็นสีม่วง |
![]() | |
![]() | การย้อมไม่สามารถใช้ลบรอยด่างได้ เนื่องจากสีย้อมผ้าเป็นสีโปร่งแสง ถ้าผ้าที่จะย้อมสีมีความเข้มของสีไม่สม่ำเสมอ สีที่ย้อมได้ก็จะไม่สม่ำเสมอ จึงควรใช้ยาฟอกสี DYGON ปรับสีให้อ่อนลง และสม่ำเสมอก่อน แล้วจึงย้อมสีที่ต้องการ |
![]() | |
![]() | ควรปฏิบัติตามวิธีการใช้ เพื่อให้ได้ผ้าสีสวยตามต้องการ |
![]() | |
![]() | ถ้าสีที่ได้อ่อนเกินไป อาจเนื่องมาจาก: - ใช้เวลาในการย้อมน้อยเกินไป - ใช้สีน้อยเกินไป - ใช้น้ำมากเกินไป - ไม่ได้ใช้เคมีช่วยย้อม (Cold Dye Fix) หรือใช้ในปริมาณที่น้อยเกินไป (สำหรับสีย้อมเย็นเท่านั้น) - อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ย้อมไม่เหมาะสม (สำหรับสีย้อมร้อน) |
![]() | |
![]() | ถ้าผ้าด่างอาจเนื่องมาจาก: - ในขั้นตอนการละลายสีไม่ได้คนสีจนละลายหมด - ไม่ได้ใช้เกลือ (เกลือช่วยให้อณูของสีกระจายไปทั่ว) - ปริมาณของน้ำที่ใช้ย้อมน้อยเกินไป ทำให้น้ำไม่ท่วมผ้า - คน หรือกลับผ้าไม่ทั่วถึง - ไม่ได้นำผ้าที่จะย้อมไปทำให้เปียกก่อนย้อม |
หลักการสำคัญในการย้อมสีธรรมชาติ
ในการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาตินั้น หลักการส าคัญคือ ตัวติดสี [Mordant]
เป็นตัวที่ช่วยให้สีติดอยู่บนผ้าและเส้นใยได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ตกง่าย ซึ่งตัวติดสี
เป็นสารประกอบที่ช่วยให้เส้นใยสามารถดูดซึมน้ าสีได้มากขึ้น และตัวติดสีแต่ละชนิดยัง
มีผลให้เกิดสีที่แตกต่างกันอีกด้วย
ตัวติดสีได้แก่ สารส้ม จุนสี เกลือ ปูนขาว สนิมเหล็ก
ตัวติดสีที่รู้จักและนิยมใช้กัน คือ สารส้ม เพราะไม่เป็นอันตราย ตัวติดสี
ธรรมชาติโดยทั่วไป คนมักนิยมใช้ โคลน หรือน้ าบาดาลแทนสนิ มเหล็ก และใช้ใบไม้
ผลไม้ เปลือกไม้ เช่น ใบเหมียดแอ ใบเหมียด ใบส้มเสี้ยว ใบส้มป่อย ใบมะขาม มะนาว
มะขาม และน้ าขี้เถ้า เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นปรับความเป็นกรด-ด่างให้กับน้ าสี
เพื่อให้น้ าสีสามารถเกาะติดเส้นใยผ้าได้ดีขึ้นการใช้ตัวติดสีในการช่วยย้อมจะแบ่งเป็น 3
ลักษณะ
- ใช้ตัวติดสีก่อนย้อม เช่น สารส้ม
- ใช้ในขณะย้อม เช่น สารส้ม มะขาม และใบไม้ต่างๆ
- ให้หลังการย้อม เช่น โคลน น้ าบาดาล ปูนขาว และน้ าด่าง
นอกจากตัวติดสีจะมีคุณสมบัติช่วยให้สีติดแล้ว ยังมีคุณสมบัติท าให้ได้สีที่
ระดับแตกต่างกัน เช่น สารส้มย้อมสีได้ในระดับอ่อน มะนาว มะขามหรือใบไม้บางชนิดช่วยให้สีสดใส เช่น แดงสด เหลืองสด แต่โคลนหรือน้ าบาดาลช่วยให้สีเข้มขึ้น
เป็นตัวที่ช่วยให้สีติดอยู่บนผ้าและเส้นใยได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ตกง่าย ซึ่งตัวติดสี
เป็นสารประกอบที่ช่วยให้เส้นใยสามารถดูดซึมน้ าสีได้มากขึ้น และตัวติดสีแต่ละชนิดยัง
มีผลให้เกิดสีที่แตกต่างกันอีกด้วย
ตัวติดสีได้แก่ สารส้ม จุนสี เกลือ ปูนขาว สนิมเหล็ก
ตัวติดสีที่รู้จักและนิยมใช้กัน คือ สารส้ม เพราะไม่เป็นอันตราย ตัวติดสี
ธรรมชาติโดยทั่วไป คนมักนิยมใช้ โคลน หรือน้ าบาดาลแทนสนิ มเหล็ก และใช้ใบไม้
ผลไม้ เปลือกไม้ เช่น ใบเหมียดแอ ใบเหมียด ใบส้มเสี้ยว ใบส้มป่อย ใบมะขาม มะนาว
มะขาม และน้ าขี้เถ้า เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นปรับความเป็นกรด-ด่างให้กับน้ าสี
เพื่อให้น้ าสีสามารถเกาะติดเส้นใยผ้าได้ดีขึ้นการใช้ตัวติดสีในการช่วยย้อมจะแบ่งเป็น 3
ลักษณะ
- ใช้ตัวติดสีก่อนย้อม เช่น สารส้ม
- ใช้ในขณะย้อม เช่น สารส้ม มะขาม และใบไม้ต่างๆ
- ให้หลังการย้อม เช่น โคลน น้ าบาดาล ปูนขาว และน้ าด่าง
นอกจากตัวติดสีจะมีคุณสมบัติช่วยให้สีติดแล้ว ยังมีคุณสมบัติท าให้ได้สีที่
ระดับแตกต่างกัน เช่น สารส้มย้อมสีได้ในระดับอ่อน มะนาว มะขามหรือใบไม้บางชนิดช่วยให้สีสดใส เช่น แดงสด เหลืองสด แต่โคลนหรือน้ าบาดาลช่วยให้สีเข้มขึ้น
การพัฒนาของสีสังเคราะห์
![]() | ในปี ค.ศ. 1856 วิเลี่ยม เพอร์คิน (William Perkin) ได้ค้นพบสีสังเคราะห์โดยบังเอิญจากการ พยายามสังเคราะห์ยาควินนิน เพื่อใช้รักษาโรคมาลาเรีย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถือเป็นยุคที่ 2 ของ สีย้อมผ้าซึ่งเป็นจุดสำคัญของการแบ่งแยกยุคสมัยของสีย้อมผ้าจากยุคสีย้อมธรรมชาติมาสู่ยุคสีย้อม สังเคราะห์ | |
![]() ![]() | ![]() | |
สืบเนื่องจากการค้นพบของ วิเลี่ยม เพอร์คิน ทำให้มีการคิดค้นสีชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 500 กว่า ชนิดภายในปี ค.ศ.1900 โดยประเทศอังกฤษ เยอรมันนี และฝรั่งเศส เป็นประเทศ ที่มีการพัฒนาสี สังเคราะห์มากที่สุด ในยุคที่ 2 นี้ การใช้สีสังเคราะห์เป็นไปอย่างแพร่หลายจนแทนที่การใช้สีย้อม ธรรมชาติโดยสิ้นเชิง | ||
![]() ![]() | ![]() | |
สีย้อมสังเคราะห์สามารถใช้ย้อมเส้นใยที่ได้จากพืช (Cellulose) เช่น ฝ้าย และเส้นใยโปรตีนที่ได้ จากสัตว์ (Protein) เช่น ไหม และขนสัตว์ จนกระทั่งในช่วงทศวรรษ 1920 ได้มีการคิดค้นผ้าเส้นใย สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งเป็นผลิตผลจากอุตสาหกรรมน้ำมัน เช่น ไนล่อน (Nylon) และ โพลิเอสเตอร์ (Polyester) สีย้อมสังเคราะห์ที่ใช้อยู่ในสมัยนั้นไม่สามารถย้อมเส้นใยสังเคราะห์ชนิดใหม่นี้ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการคิดค้นสีที่สามารถย้อมเส้นใยสังเคราะห์ได้ คือ สีดิสเพอร์ อะโซ (Disperse Azo) และใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยส่วนมากใช้ย้อมผ้าโพลิเอสเตอร์ | ||
![]() ![]() | ![]() | |
ช่วงทศวรรษ 1950 ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการคิดค้นสีย้อมสังเคราะห์ เพราะเป็นช่วงที่ สีรีแอคทีฟ (Reactive Dye) ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นสีที่มีความยิดเกาะกับเส้นใยสูงโดยอาศัยพันธะ ทางเคมี ทำให้ได้ผลลัพธ์คือความคงทนของสีย้อม และสีที่สดใส |
ประวัติการย้อมผ้า
การย้อมผ้าเป็นงานศิลป์ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมมนุษย์มาอย่างยาวนาน ย้อนหลังไปหลายพันปีโดยประเทศจีนถือเป็นชนชาติแรกที่ปรากฏ หลักฐานว่ามีการย้อมผ้า (ตั้งแต่ 3,000 ปี ก่อนคริสกาล) นอกจากนี้ยังพบชนชาติอื่นๆ ที่มีการย้อมผ้า เช่น ชาวยุโรปในยุคโลหะ (2,500 ถึง 800 ปี ก่อนคริสตกาล) ชาวอินเดีย (2,500 ปี ก่อนคริสตกาล) และชาวอียิปต์ (1,450 ปี ก่อนคริสตกาล) ที่พบหลักฐาน การย้อมผ้าด้วยสีสันหลากหลาย |
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)